คุณโน้ตแฟนคลับที่ติดตามเวปไซด์ของเราได้แนะนำให้ผมดูหนังเรื่องนี้เพราะแกคิดว่ามีหลายฉากน่าเอามาคุยในเรื่องภาษากาย
เกี่ยวกับคดีธรรมกาย ถ้าสรุปแบบรวบรัดที่สุดคือ เจ้าอาวาสท่านธรรมไชโยได้หลบหนีการจับกุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจเพราะมีหมายจับหลายคดี แรกๆอ้างว่าป่วยหนักแต่สุดท้ายพอมีการใช้กำลังเพื่อบุกเข้าจับกุมก็ไม่พบตัว(หนี) จนบัดนี้ที่ผมเขียนบทความนี้ก็ไม่มีใครบอกได้ว่าท่านหนีไปซ่อนตัวที่ไหนอย่างไร ยังเป็นพระอยู่ไหม หรือสึกแล้วหรือเปล่าก็ไม่มีใครตอบได้เลย
หนังนี้เป็นหนังสั้นแนวสารคดีของ Netflix (ท่านใดจะชมต้องไปสมัครสมาชิก) พอเป็นหนังแนวสารคดีสิ่งที่ผมสนใจคือจะมีบทสัมภาษณ์ให้เราได้สังเกตุภาษากายกัน
ช้อตที่น่าสนใจคือการให้สัมภาษณ์ของ พระสนิทวงศ์ วุฑฒิวังโส (พระผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารของวัดธรรมกาย) ต่อความบริสุทธิ์ของพระธรรมะไชโย ทั้งในประเด็นการเป็นผู้ต้องหาในคดีต่างๆและเรื่องประเด็นว่าพระธรรมะไชโยแกล้งป่วยหรือเปล่า ?
จากเคสนี้เราจะได้ทราบครับว่าพระก็คือคนธรรมดาที่สามารถแสดงภาษากายได้ไม่ต่างจากคนปกติ
ในช่วงต้นของหนังในนาทีที่ 8:51-9:06
พระสนิทวงศ์ : ท่านจะเอาเงินไปทำอะไร … ไม่มีประโยชน์เลย ….จะโกงไปทำไม (*) ง่ายๆเลย make sense ง่ายๆเลยว่าหนึ่ง (**) สุขภาพขนาดนี้ (***)ป่วยขนาดนี้ จะโกงไปทำไม…เออ..
ของวิเคราะห์คำพูด (Wording) ไปควบคู่กับภาษากาย (Body Language) เลยนะครับ
สังเกตุว่า พระสนิทวงศ์คตอบว่า” ท่านจะเอาเงินไปทำอะไร … ไม่มีประโยชน์เลย ….จะโกงไปทำไม”
ตรงนี้ชวนให้สงสัยว่า ถ้าพระธัมมชโย(เจ้าอาวาส)บริสุทธ์จริง ทำไมพระสนิทวงศ์ถึงไม่พูดตอบหนักแน่นไปเลยว่า “พระธัมมชโยบริสุทธิ์” หรือ “พระธัมมชโยไม่เคยทำความผิดดังที่ถูกกล่าวหา” แต่กลับถามย้อนเพื่อเบี่ยงประเด็น ลักษณะการตอบแบบนี้จะพบบ่อยมากกับคนที่โกหกเพราะเขาไม่ต้องการให้เจาะประเด็นที่เขาโกหกอยู่ เช่น แฟนคุณสงสัยว่าคุณแอบไปมีใครแล้วถามคุณว่า”คุณกำลังนอกใจฉันหรือเปล่า” ถ้าใช้การ ถามย้อนเพื่อเบี่ยงประเด็น ก็จะตอบว่า
- “ผมจะทำไปทำไม”
- “ผมทำไปแล้วได้ประโยชน์อะไร”
- “คนแบบผมหรือจะทำแบบนั้น” พระสนิทวงศ์ก็ใช้หลักการนี้ในการตอบ
พร้อมกันนี้จะเห็นภาษากายอย่างหนึ่งคือเขายิ้มไปด้วยตอนตอบ (Smiling out of context) การยิ้มนี้เป็นได้สองอย่าง คือ Duping delight – การมีความสุขที่ได้โกหก หรือ การยิ้มเพื่อทำให้เหตุการณ์เป็นเรื่องเล็กลง (Minimize the situation) แต่ดูแล้วน่าจะเป็นอันหลัง
การยิ้มเพื่อทำให้เหตุการณ์เป็นเรื่องเล็กลง (Minimize the situation) เป็นการยิ้มเพื่อกลบเกลื่อนและสร้างบรรยากาศเพื่อพาออกจากสถานการณ์ (งงไหม) ตัวอย่างเช่น ถ้าลูกคุณอายุ 5 ขวบฝึกขับจักรยานแล้วพลาดล้มแล้วร้องไห้ ถ้าคุณไม่ต้องการโอ๋เขาและอยากให้เขามองข้ามเรื่องความเจ็บ หรือ อยากเบี่ยงประเด็นให้เขาไม่ต้องสนใจแผลที่เจ็บ คุณก็จะพยายามทำให้เขารู้สึกว่าแผลมันไม่สำคัญมันไม่ใช่เรื่องใหญ่และอยากให้เขามองข้ามมันไป คุณก็อาจจะเดินเข้าไปปลอบพร้อมยิ้มว่า ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวมาฝึกขี่ใหม่ แผลเล็กนิดเดียวแค่นี้สบายนะ ..ด้วยรอยยิ้ม และชวนเขาทำอย่างอื่นหรือขี่จักรยานต่อแทนการเฝ้าถามว่าเจ็บแผลไหม
ถัดมาจะพบก้มหน้าเพื่อหลบตา (Diminished eye contact -Looking downward) ตอนจังหวะที่พูดว่า “สุขภาพขนาดนี้” และพบ Diminished eye contact (Looking away to the left) ตอนพูดว่า “ป่วยขนาดนี้“
การก้มหน้าเพื่อหลบตาในประโยคสำคัญแบบนี้ผมถือว่าเป็นจุดที่ต้องให้ความสำคัญ (Significant) การหลบตาโดยเฉพาะการก้มหน้ามักจะพบบ่อยเวลาคนที่เกิดความลำบากใจที่จะตอบ เช่น กำลังปกปิด โกหก หรือลำบากใจที่จะพูดเพราะทำความผิด
สรุปภาษากายของพระสนิทวงศ์ วุฑฒิวังโส
- พระสนิทวงศ์ วุฑฒิวังโส หลีกเลี่ยงที่จะตอบว่าบริสุทธิ์ ซึ่งอาจแปลได้ว่าพระธรรมไชโยได้ทำผิดกฎหมายจริงๆ
- การป่วยของพระธรรมไชโย เป็นเรื่องโกหกเพื่อจะได้เป็นข้ออ้างในการไม่ต้องรับทราบข้อกล่าวหา
ผมเชื่อว่าพระสนิทวงศ์ วุฑฒิวังโส ต้องรักธรรมกายมากๆถึงได้ยอมมุสาเรื่องพระธรรมไชโย
ขอให้สนุกกับการเรียนรู้นะครับ
ทพ.อภิชาติ ลีนานุรักษ์ (หมอมด)
บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น สถานการณ์อ้างอิงเพื่อใช้ในการสอนจะคัดเลือกมาจากหลายวงการ เช่น นักการเมือง นักแสดง นักร้อง นักกีฬา นักธุรกิจ และบุคคลสาธารณะที่ปรากฎในสื่อสาธารณะ เช่น ข่าว รายการโทรทัศน์ งานแถลงข่าว สัมภาษณ์ รายการในยูทูป (youtube)ทั้งในและต่างประเทศ การตีความและอธิบายภาษากายทุกอย่างเพื่อการเรียนรู้และแสดงผ่านมุมมองของผม ว่าผมมีความเห็นอย่างไรต่อสถานการณ์เหล่านั้นเท่านั้น และไม่มีจุดประสงค์เพื่อหวังประโยชน์ด้านการเมือง หรือเพื่อละเมิดกับบุคคลใด กลุ่มการเมือง หรือ ศาสนาใด ทั้งสิ้น