ท่านดาไลลามะ มีข่าวไปทั่วโลกเมื่อมีเด็กผู้ชายเดินเข้ามาขอกอดทักทายแล้วท่านดาไลลามะก็ต้อนรับด้วยการกอดและจูบที่ริมฝีปาก และบอกให้เด็กน้อย “ดูดลิ้น” ของท่าน
เมื่อคลิป VDO นี้มีการแพร่ไปทั่วโลก ก็มีกระแสตามมามากมายโดยเฉพาะการวิจารณ์ถึง “ความเหมาะสม” ของการกระทำนี้ขอท่าน เพราะในมุมมองของสากลโลกในยุคสมัยของสิทธิมนุษยชนมีมุมมองว่าเข้าข่าย child sexual abuse (ทารุณกรรมทางเพศ)
ในบทความนี้จะขอพูดถึงสามส่วนคือวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้อง ภาษากายและวิเคราะห์ถึงความเหมาะสม
การแลบลิ้น (Sticking out one’s tongue)
การแลปลิ้นในเชิงของวัฒนธรรมทิเบต มีคำอธิบายว่าเป็นการ “ทักทาย” รูปแบบหนึ่งที่แสดงถึงความเคารพ นับถือ ว่าตนเองไม่มีสิ่งใดซ่อนเอาไว้ ในประวัติศาสตร์มีการเล่าถึงอดีตกษัตริย์ Langdarma (คศ.838-841) ที่มีลิ้นดำและจะแลบลิ้นออกมาเพื่อแสดงการยอมรับ เคารพ และความจริงใจ เป็นต้นแบบของการแสดงออกและแพร่หลายไปทั่วในชนชาติทิเบต
ทุกวันนี้การทำความเคารพด้วยการแลบลิ้นนี้ไม่ค่อยนิยมในหมู่คนรุ่นใหม่ แต่อาจจะพบบ้างในคนรุ่นเก่าตามชนบทของทิเบต
ภาษากายของการแลบลิ้น
ในเชิงของภาษากาย การแลบลิ้นออกมาในลักษณะทั้งลิ้นแบบยืดจนสุดมักจะสัมพันธ์กับการเล่นตลก (Cheerful , Make a joke , playful) หรือตั้งใจทำอะไรมาก ๆ แล้วเผลอแลบลิ้นออกมา (Concentrating , trying to accomplish something) และเป็นภาษากายในกลุ่ม Alpha- Personality คือมีความมั่นใจ และต้องแยกแยะระหว่างการแลบลิ้นแบบลิ้นงู (Loose tongue jut) และเลียริมฝีปาก เพราะมีความหมายที่แตกต่างกัน
ความเหมาะสมของท่านดาไลลามะ
ฝั่งตัวแทนของรัฐบาลพลัดถิ่นของทิเบตในอินเดียก็ออกมาอธิบาย ว่าท่านดาไลลามะเป็นคนที่ไม่ได้คิดร้ายกับใครทั้งสิ้น (Innocent) และเป็นคนที่แสดงออกกับใครต่อใครถึงความรักอย่างบริสุทธิ์ใจ (affectionate behaviour) และชีวิตท่านวนเวียนอยู่แค่การฝึกและปฎิบัติท่านจึงกระทำไปโดยไม่ได้อยู่ในกรอบมุมมองของคนตะวันตก
แต่ในมุมมองส่วนตัวของผม การกระทำของท่านดาไลลามะก็ยังมีจุดที่พิจารณาว่า “ไม่เหมาะสม”
ใน VDO จะพบทั้งการกอด การจูบที่ริมฝีปากและการบอกให้เด็กชาย “ดูดลิ้น” ของท่านดาไลลามะ ดูแล้วคล้ายคู่รักแสดงออกทางความรักแบบลึกซึ้ง (Sexual / Romantic relationship) เสียมากกว่าการแสดงออกประเภทเอ็นดู หรือ ความรักของผู้ใหญ่ที่มีต่อเด็ก ทำให้ชวนคิดว่าท่านไม่ได้คิดอะไรเลยจริง ๆ หรือ ? เพราะการแสดงออกนั้นดู “ลึกซึ้ง” มากเกินไป
ท่านดาไลลามะไม่ใช่คนป่าคนเขาที่ไม่รู้วัฒนธรรมของชนชาติอื่น เป็นคนที่มีความรอบรู้ เป็นผู้นำทางความคิดและจิตวิญญาณ ท่านเป็นอาจารย์และสอนธรรมะ ท่านพบปะผู้คนและเดินทางมาแล้วทั่วโลก ย่อมต้องทราบดีถึงวิธีคิดและวิธีปฏิบัติของสากลโลก รวมถึงสิ่งที่เรียกว่า “สิทธิมนุษยชน” ว่าเป็นอย่างไร
และภาพพจน์ของท่านก็ยิ่งลงไปอีกที่นักข่าวและชาวโซเชียลก็เริ่มขุด VDO เก่า ๆ ที่ “ไม่สำรวม” ออกมาเรื่อย ๆ เช่นการยื่นมือไปจับขาของเลดี้กาก้า ในปี 2018 ที่นักร้องหญิงเองก็มีท่าทีที่ไม่พอใจจนต้องเอามือขึ้นมาห้าม
สรุป
ท่านดาไลลามะ จัดว่าเป็นบุคคลที่มีอิทธิพลสูงที่สุดท่านหนึ่งของโลกเทียบเท่ากับ บารัค โอบาม่า แต่การกระทำเช่นนี้ไม่ควรจะเกิดขึ้น
ถ้าจะพูดให้สุภาพ ท่านดาไลลามะ ขาดในสิ่งที่เรียกว่า “ความสำรวม” ซึ่งเป็นข้อปฎิบัติพื้นฐานของคนที่รับการยกย่องว่าเป็นผู้นำทางศาสนา หรือพระ การกระทำที่ขาดความยับยั้งชั่งใจ ขาดการคิดวิเคราะห์ก่อนจะลงมือทำอะไร จนน่าคิดว่าแท้ที่จริงท่านมี “สติ” แค่ไหน ?
ทั้งนี้ในเชิงการวิเคราะห์ อาจต้องมองหลายมิติเช่น
- เป็นไปได้ไหมที่ท่านแก่จนสมองอาจจะเริ่มมีปัญหาเพราะเสื่อมถอยตามวัย ? ทำให้การคิดวิเคราะห์จึงถดถอยตาม
- หรือแท้ที่จริงท่านก็ยังไม่สามารถตัดเรื่องทางโลกได้เหมือนพระไทยที่เราเห็นเป็นข่าวทั่วไปและวันนี้สิ่งที่เห็นเป็นเศษเสี้ยวที่อาจจะบังเอิญรั่วออกมา (Leak) ?
แต่ไม่ว่าอย่างไร “การสำรวมตน” เป็นพื้นฐานที่ท่านดาไลลามะจะต้องมีมากกว่าปุถุชนทั่วไป จึงไม่แปลกที่ใครหลายคนจึง “รับไม่ได้” การ “เล่น” มากเกินไปในวันนี้ของท่านดาไลลามะ กลายเป็นหอกที่มาทิ่มแทงและลดความน่าเชื่อถือของท่านตลอดไปจากการกระทำที่แสดงออกมาอย่างไม่เหมาะสมกับยุคสมัยและสังคมที่สวนทางกับภาพพจน์และตำแหน่งทางสังคมที่สูงส่งและจะวนมาแทงซ้ำ ๆ ในอนาคตอย่างไม่มีวันลบเลือน อย่างคุณ บิล คลินตั้น ถูกแซะและแซวทุกวันจากการโกหกพฤติกรรมชู้สาว
เดาเลยว่าวลี “Suck my tongue” จะกลายเป็นคำขวัญประจำตัวของท่านอีกพักใหญ่
สวัสดีครับ
ทพ.อภิชาติ ลีนานุรักษ์ (หมอมด)